“บาทอ่อนค่าทดสอบแนวต้าน 35.60 หลังรับรู้ตัวเลขเงินเฟ้อ”
สวัสดี วันอังคาร ที่ 6 กันยายน 2566
USD ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ท่ามกลางความกังวลว่า การปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบในช่วงนี้และแนวโน้มที่ราคาน้ำมันดิบอาจปรับตัวสูงขึ้น จะทำให้อัตราเงินเฟ้อชะลอลงยาก ซึ่งอาจส่งผลให้เฟดยังจำเป็นต้องเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดต่อไป
- สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญฝั่งสหรัฐฯ อย่าง ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการบริการ (ISM Services PMI) ซึ่งตลาดจะทยอยรับรู้ในช่วงราว 21.00 น. ตามเวลาในประเทศไทย โดยนักวิเคราะห์ต่างมองว่า ดัชนี ISM PMI ภาคการบริการอาจอยู่ที่ระดับ 52.5 จุด สะท้อนว่าภาคการบริการสหรัฐฯ ยังสามารถขยายตัวต่อเนื่องได้
THB ฝั่งไทย หลังจากเมื่อวานได้เปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อ CPI ออกมาสูงกว่าคาดการณ์ที่ 0.88% แต่ Core CPI เป็นดัชนีชี้วัดเงินเฟ้อไม่รวมภาคอาหารและพลังงานออกมาต่ำกว่าคาดที่ระดับ 0.79% ทำให้เงินบาทอ่อนค่าไปชั่วขณะ แต่ยังคง Sideway อยู่ในกรอบ รวมถึงถูกกดดันจากโฟลว์ทองคำที่มีการย่อตัวลงทำให้นักลงทุน ทะยออช้อนซื้อทองคำ ทำให้เงินบาทยังไม่สามาถรผ่านแนวต้าน 35.60 บาท ไปได้ แต่ยังคงต้องเฝ้าติดตามแรงหนุนจากฝั่งของสหรัฐ โดยหากนักลงทุนต่างชาติทยอยกลับเข้าซื้อหุ้นไทยบ้าง (Buy on Dip) ก็อาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทในระยะสั้นได้เช่นกัน
EUR ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ปรับตัวลงต่อเนื่อง -0.23% ท่ามกลางความกังวลภาวะ “Stagflation” ในฝั่งยุโรป หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจยูโรโซนล่าสุดต่างออกมาแย่กว่าคาด ขณะที่อัตราเงินเฟ้อก็มีแนวโน้มอยู่ในระดับสูงต่อ นอกจากนี้ ความกังวลต่อแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีนยังได้กดดันให้ผู้เล่นในตลาดเดินหน้าขายหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมและกลุ่มเหมืองแร่ (Dior -3.1%, Anglo American -1.6%) ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของหุ้นกลุ่มพลังงาน (BP +2.0%, Shell +1.0%) ตามการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบในระยะนี้
ในฝั่งตลาดบอนด์ การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบจนกลับมาเท่ากับระดับในปีก่อนหน้า จากความกังวลภาวะอุปทานตึงตัวในตลาดน้ำมันได้ส่งผลให้ ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลว่า บรรดาธนาคารกลางอาจเผชิญปัญหาในการควบคุมเงินเฟ้อ ทำให้ธนาคารกลางอาจจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น หรือ นานขึ้นกว่าคาด ซึ่งมุมมองดังกล่าวได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ระยะยาวต่างปรับตัวสูงขึ้น โดยบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 4.26% อีกครั้ง